“ตลิ่งสูง ซุงหนัก”
” เรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างคนกับช้าง”
เรื่องนี้ถือเป็นนวเป็นนวนิยายรางวัลซีไรต์ที่เราได้มีโอกาสอ่านตั้งแต่สมัยมัธยมต้นอ่านแล้วมีความรู้สึกประทับใจอย่างมาก ไม่ว่านานแค่ไหนก็ยังตราตรึงใจเสมอมากับแนวคิดที่ได้จากเรื่องนี้ เดิมทีเดียวเราคิดว่า หนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์จะต้องเป็นหนังสือที่ใช้ภาษาเข้าใจยาก แต่เมื่อได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ทำให้รู้ว่านวนิยายซีไรต์ไม่ได้อ่านยากอย่างที่คิด ตรงข้ามเสียอีก เนื้อเรื่องเขียนได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน ใช้ถ้อยคำภาษาที่ สั้น ง่าย และ สมบูรณ์ด้วยความหมาย อีกทั้งการใช้ลีลาบทสนทนา เพื่อเน้นสิ่งที่อยู่ในใจมากกว่าสิ่งที่มนุษย์พูดกันนั้นเป็นจุดเด่นของนวนิยายเรื่องนี้ อ่านแล้วลึกซึ้งไม่ธรรมดา
ดังเช่น ตอนที่คำงายเข้ามาในร้านขายรูปปั้นแล้วพูดขึ้นมาว่า “รูปปั้นรูปนี้เหมือนคนจริงๆ” แต่มะจันกลับพูดว่า “ รูปปั้นไม่เหมือนเขาหรอก แต่เขาต่างหากที่เหมือนรูปปั้น” เมื่อพบกันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็บอกเธอว่า เธอพูดถูก “รูปปั้นนี้ไม่มีทางเหมือนคนได้เลย เพราะมันเป็นซากที่ไม่มีชีวิต แต่คนเหมือนกับรูปปั้น เพราะบางทีคนก็คล้ายซาก ไม่มีใจ”
แม้ว่าบางตอนในเรื่องจะมีการกล่าวมาจากอดีตแต่ด้วยภาษาของผู้แต่งที่สละสลวยก็ยังทำให้เราอ่านเข้าใจชัด ประกอบด้วยภาพและบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นสายน้ำ สายหมอก ล่องแพ ลากซุง สลักช้าง สตัฟฟ์สัตว์ หรือเสียงกลองและสีสันของดอกไม้ ทุกประการนี้ประสานในนวนิยายกลมกลืนกันอย่างมีเอกภาพ เราอ่านแล้วรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หลากหลาย ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็น อารมณ์เศร้าสะเทือนใจกับเนื้อหาในเล่มนั้นเอง
นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้เหมือนได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับดิฉันทำให้เข้าใจในแง่มุมที่คนทั่วไปอาจจะมองข้ามไป รวมถึงได้รู้คุณค่าของคำว่า “ชีวิต” ผ่านการแสวงหาคุณค่าของชีวิตของตัวละครเอกในเรื่อง เห็นได้ว่าคนเราทุกคนมีการเกิดการตายอย่างละหนึ่งหนเท่าๆกันทุกคน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างการเกิดและการตายนั้น ก็คือ “ชีวิต” คนเราแต่ละคนจะตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนมัวแต่ไปรักษาร่างกายภายนอกหรือซากที่ไม่มีชีวิตให้ดีงาม แต่ละเลยที่จะรักษาชีวิตที่อยู่ข้างใน
ซึ่งจากการอ่านนวนิยายเล่มนี้แสดงให้เห็นว่า คำงาย ตัวเอกของเรื่องได้ตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตโดยเห็นว่า “คนเรานั้นมัวแต่รักษาซากที่ไม่มีชีวิตไม่เคยรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย ” เขาจึงเลือกรักษาชีวิตช้างที่เค้ารักมากโดยการ เลี้ยงมัน รักมัน ถนอมมัน ดูและเอาใจใส่มัน เขาจึงสามารถมองเห็นสายโยงใย ระหว่างชีวิตและความผูกพันของเขาได้ คำงายรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของช้าง ลูกชาย และภรรยาของเขา ไม่มีใครแยกออกห่างจากใคร ทุกคนล้วนเกี่ยวเนื่องกันและกันทั้งนั้น
ขณะที่อ่านเรื่องนี้ผู้แต่งสามารถดึงให้เราเข้าไปมีความรู้สึกเหมือนเป็นตัวละครเอกที่ชื่อว่า “คำงาย” ได้รับรู้ถึงทุกข์และปัญหาของเขา ทำให้เข้าใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผู้แต่งมีการใช้อารมณ์ต่างๆของมนุษย์ทั่วไปได้เป็นอย่างดีและลงตัว ทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวละครได้ง่าย และจากการอ่านยังได้ข้อคิดเปรียบเทียบคนกับช้างอีกว่า “เมื่อใดก็ตามที่ช้างเชื่อว่า มันต้องลากซุง มันก็มุมานะลากซุงของมันไป โดยที่ไม่ต้อง ใช้แส้ใช้ตะขอ ทำโทษมันเลยคนเราเองก็เหมือนช้าง สิ่งที่คนเราขวนขวายไขว่คว้าก็เปรียบเสมือนการลากซุง ซุงที่เรามองไม่เห็น”
สุดท้ายนี้สำหรับดิฉันนวนิยายเรื่อง ตลิ่งสูงซุงหนัก เป็นนวนิยายที่แสดงสัญลักษณ์ได้อย่างชัดเจนและดีที่สุดตั้งแต่เคยอ่านมา หลังจากอ่านเรื่องนี้จบเราสามารถตีความชื่อเรื่องได้ว่า “ตลิ่งสูง” หมายถึง อุปสรรคในชีวิต และ “ซุงหนัก” ก็หมายถึง ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับนั้นเอง เมื่ออ่านแล้วทำให้เรามีกำลังใจในการดำรงชีวิตที่ต้องมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวาง และพยายามทำตามเป้าหมายที่ตัวเราเองตั้งไว้ให้ได้แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม ..
นอกจากนี้แง่คิดและมุมมองอันซื่อใสแต่งดงามของคำงาย เป็นเหมือนกระจกเงาให้ดิฉันได้ส่องสะท้อนเข้ามายังชีวิตของตัวเราเองเกิดเป็นคำถามที่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่า…ถึงวันนี้เราหา”ชีวิต” เจอหรือยัง…? เราได้ดูแล”ชีวิต”ของตนเองดีพอหรือยัง…? หรือเพียงปรนเปรอ”ซาก”ของชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น ?
ถ้าวันนี้คุณอยากจะหาหนังสือดีๆซักเล่มเพื่ออ่าน
แนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ “ตลิ่งสูง ซุงหนัก”
รับรองว่าคุณผู้อ่านจะได้อะไรดีดีกลับมาอย่างแน่นอน
…..……..ฺBonuss Zaaiiz
Posted by loveloveinbonus | Filed under A book that changed me